พระเจ้าเป็นศูนย์กลางของคริสตศาสนา ชาวคริสต์เชื่อว่ามีพระเจ้าที่ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ทรงดำรงอยู่ก่อนสร้างโลก พระเจ้าแสวงหามนุษย์ และพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ลงมาช่วยเหลือมนุษย์ เป็น หลักธรรมของคริสตศาสนา
เรื่องราวของพระเจ้าเริ่มมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรโดยโมเสสเมื่อประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตศักราช ดังนั้น คริสตศาสนาจึงมิใช่เริ่มเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด แต่เริ่มตั้งแต่มนุษย์คู่แรกเลยทีเดียว
พระเจ้าทรงเป็นตรีเอกานุภาพ (Trinity)
– พระเจ้าพระบิดา
– พระเจ้าพระบุตร
– พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราอาจไม่เข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนนัก เนื่องจากพระองค์ไม่มีพระประสงค์ที่จะเปิดเผยเรื่องบางอย่างให้เราทราบ มีบันทึกในพระธรรมโยบ 11:7 “ท่านจะหยั่งรู้ความลี้ลับของพระเจ้าได้หรือ? ท่านจะหยั่งรู้ความไพบูลย์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้หมดสิ้นหรือ? “ และในเฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 “สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งที่ทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลายและของลูกหลานของเราเป็นนิตย์ …“
พระธรรมโรม 3:23 ความว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” และพระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะไปสู่พระเจ้าได้ ไม่มีบุคคลอื่นใดเป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้านอกจากพระเยซูคริสต์
กิจการของอัครฑูต 4:12 “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
ยอห์น 14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”
1ทิโมธี 2:5 ”เพราะว่าพระเจ้ามีองค์เดียว และคนกลางก็มีแต่เพียงผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพมนุษย์”
พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่มนุษย์ 3 ทาง คือ
1. การทรงสร้าง
สดุดี 19:1 “ท้องฟ้าประกาศพระสิริของพระเจ้า และพื้นฟ้าสำแดงผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์”
โรม 1:19-20 “เพราะการที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับพวกเขา เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย”
2. ทางพระเยซูคริสต์
ฮีบรู 1:1-3 “นานมาแล้วพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราหลายครั้ง1 และหลายวิธีผ่านทางพวกผู้เผยพระวจนะ แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ตรัสกับเราทางพระบุตร ผู้ที่พระองค์ทรงตั้งให้เป็นทายาทรับสิ่งทั้งปวง พระเจ้าทรงสร้างจักรวาลทางพระบุตร พระบุตรทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้า ทรงมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า ทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวงไว้ด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงชำระบาปทั้งหลายแล้ว ก็ประทับเบื้องขวาของพระเจ้าสูงสุด”
3. ทางพระคัมภีร์ ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 เล่ม ปัจจุบันได้มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ แล้วมากกว่า 2,000 ภาษา เพื่อเผยแพร่ข่าวประเสริฐไปยังมนุษยชาติ ตามที่พระเยซูคริสต์ทรงสั่งไว้ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสู่สวรรค์
มัทธิว 28:19-20 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
หมายเหตุ: ยุคพระคัมภีร์เดิม เรียก “ยุคพระบัญญัติ” ซึ่งเป็นระยะเวลาตั้งแต่พระเจ้าให้พระบัญญัติผ่านทางโมเสสเมื่อประมาณ 1,500 ก่อนคริสตศักราช จนถึงเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด ยุคเริ่มคริสตศักราช จนถึงปัจจุบัน เรียก “ยุคพระคุณ” และมีการนำคำว่า “คริสเตียน” มาใช้ตั้งแต่นั้นมา คือเป็นยุคแห่งการพึ่งในพระคุณของพระเยซูคริสต์
พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ข้อความพระคัมภีร์จาก theWord…Thailand Bible Society (www.thaibible.or.th)